viewer

วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554

แหล่งอ้างอิง : แสงและทัศนอุปกรณ์





สี

   - การผสมสารสี การที่เรามองเห็นวัตถุเป็นสีต่าง ๆ ส่วนใหญ่เราเห็นสีเนื่องมาจากแสงที่สะท้อนมาจากวัตถุ มากกว่าเห็นสีจากแสงที่ทะลุผ่านวัตถุ ดังนั้นสีตามธรรมชาติของวัตถุ ที่เราต้องการเห็นจะต้องดูวัตถุนั้นด้วยแสงขาวของดวงอาทิตย์ เมื่อเป็นเช่นนี้สีของวัตถุที่เห็น จะต้องมีสิ่งที่กำหนดสีบนวัตถุ ได้แก่ แสงที่กระทบผิววัตถุ และสารสีบนวัตถุ (สารสีที่ผสมในเนื้อวัตถุ ) สารสีต่าง ๆ ที่อยู่ในเนื้อวัตถุ ที่ไม่สามารถสร้างขึ้นได้จากการผสมสารสีต่าง ๆ เข้าด้วยกันมี อยู่ 3 สี คือ สีเหลือง สีแดงม่วง และสีน้ำเงินเขียว ซึ่งเรียกว่า สารสีปฐมภูมิ สารสีทั้ง 3 นี้ จะมีหน้าที่ดังนี้
สารสีเหลือง จะไม่ดูดกลืนแถบสีเหลืองที่อยู่ถัดสีแดง นอกนั้นดูดกลืนหมด
สารสีแดงม่วง  จะไม่ดูดกลืนแถบสีแดง นอกนั้นดูดกลืนหมด
สารสีน้ำเงินเขียว จะไม่ดูดกลืนแถบสีน้ำเงินม่วง นอกนั้นดูดกลืนหมด
ถ้านำสารสีปฐมภูมิทั้ง 3 สี มาผสมกันด้วยปริมาณที่เท่า ๆ กัน จะได้ สารสีดำ ซึ่งมีสมบัติดูดกลืนแสงสีทุกแถบสีในสเปกตรัมของแสงขาว ถ้านำสารสีปฐมภูมิทั้ง 3 สีมาผสมกัน ด้วยสัดส่วนต่าง ๆ กัน จะเกิดเป็นสารผสมได้หลายสี ยกเว้น สารสีขาว ไม่อาจทำให้เกิดได้ด้วยการผสมสารสีอื่น ๆ ดังรูป
    -  การผสมแสงสี
แสงสีแดง +แสงสีน้ำเงิน = แสงสีม่วงแดง (Magenta)
แสงสีแดง +แสงสีเขียว = แสงสีเหลือง (Yellow or lemon)
แสงสีน้ำเงิน +แสงสีเขียว = แสงสีไซแอนหรือน้ำเงิน-เขียว (Cyan or Blue-Green)
แสงสีแดง + แสงสีน้ำเงิน + แสงสีเขียว = แสงสีขาว(White)
      แสงที่สะท้อนหรือทะลุผ่านออกมาจากวัตถุต่างๆ มักไม่เป็นเพียงสีเดียว ดังนั้นเมื่อเราต้องเห็นแสงสีเดียว เราจึงมักจะเห็นได้จากการผสมแสงสีเข้าด้วยกัน โดยนำแสงสีแดง แสงสีเขียว และแสงสีน้ำเงิน มาผสมกันบนฉากสีขาวด้วยสัดส่วนเท่าๆ กัน จะให้ผลเหมือนกับเราฉายแสงขาวลงบนฉากขาว นั่นคือ แถบแสงสีต่างๆ ในแสงสีแดง แสงสีเขียว และแสงสีน้ำเงินจะรวมกันเป็นสเปกตรัมของแสงขาวพอดี ดังรูป แสงสีทั้งสามนี้เรียกว่า แสงสีปฐมภูมิ เราอาจนำแสงสีปฐมภูมิมาผสมกันเพื่อให้แสงสีต่างๆ กันได้หลายสี ยกเว้น แสงสีดำ

ตาและการมองเห็น

      สำหรับคนสายตาสั้น ระยะไกลที่ตามองเห็นภาพชัด จะไม่ใช่ระยะอนันต์ (จุดไกล )แต่จะเห็นภาพชัดคือ จุดใกล้  การแก้ไขให้มองเห็นภาพชัดเหมือนสายตาปกติ จะต้องสวมแว่นที่ทำด้วยเลนส์เว้า ดังรูป
   สำหรับคนสายตายาว ระยะใกล้ที่ตามองเห็นภาพชัด จะไม่ใช่จุดใกล้ แต่จะเห็นภาพชัดที่ จุดไกล คือ ระยะอนันต์  การแก้ไขให้มองเห็นภาพชัดเหมือนคนสายตาปกติ จะต้องสวมแว่นที่ทำด้วยเลนส์นูน ดังรูป 



การถนอมสายตา

       การดูวัตถุที่มีความสว่างมาก ไม่ควรดูวัตถุหรือแหล่งกำเนิดแสงที่มีความสว่างมาก เช่น ดวงอาทิตย์แสงจากสปอตไลท์ แสงจากการเชื่อมโลหะ เป็นต้น เพราะเลนส์ตาจะรวมแสงให้ไปตกบนเรตินา ดังรูป ซึงอาจทำให้เรตินาถูกทำลายอย่างถาวร ถ้าจำเป็นต้องดูวัตถุที่มีความสว่างมาก ๆ เช่น ดวงอาทิตย์ขณะเกิดสุริยุปราคา ควรดูผ่านฟิล์มกรองแสง
การดูวัตถุที่มีความสว่างน้อย การดูวัตถุที่มีความสว่างน้อยไม่ทำอันตรายเรตินา แต่เป็นการดูที่ต้องเพ่งพิจารณา เช่น การอ่านหนังสือ กล้ามเนื้อตาจะต้องทำงานหนักกว่าปกติ และถ้าอ่านในที่มีความสว่างน้อยเป็นระยะเวลานานหรือบ่อย กล้ามเนื้อตาจะเสื่อมเร็วกว่าที่ควรการดูผ่านทัศนอุปกรณ์ ได้แก่ กล้องส่องทางไกล กล้องโทรทรรศน์ ดูวัตถุหรือแหล่งกำเนิดแสงที่มีความสว่างมาก จะทำให้เรตินาเป็นอันตราย ดังนั้นการดู หรือถ่ายภาพดวงอาทิตย์ เมื่อเกิดสุริยุปราคา จึงต้องทำด้วยความระมัดระวัง โดยดูผ่านฟิล์มกรองแสง หรือดูโดยมีผู้เชี่ยวชาญ ด้านดาราศาสตร์ดูแล




ความสว่าง

  เป็นที่ทราบกันดีว่าแสงเป็นพลังงานรูปหนึ่งที่สามารถทำให้พื้นที่ที่แสงตกกระทบสว่าง ปริมาณพลังงานแสงที่เปล่งออกจากแหล่งกำเนิดแสงใด ๆ ต่อหนึ่งหน่วยเวลา เรียกว่า ฟลักซ์ส่องสว่าง ( Luminous Flux ) มีหน่วยวัดเป็น ลูเมน หลอดไฟฟ้าซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแสงที่นิยมใช้กันตามบ้านเรือนมี 2 ชนิดคือหลอดไฟฟ้าแบบไส้ และหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ ตาราง 1 แสดงฟลักซ์ส่องสว่างของหลอดไฟฟ้าทั้ง 2 ชนิด
จากตาราง จะเห็นได้ว่าฟลักซ์ส่องสว่างของหลอดฟลูออเรสเซนต์มากกว่าแบบไส้ประมาณ 6 เท่า ดังนั้นเมื่อหลอดทั้งสองใช้กำลังไฟฟ้าเท่ากันประสิทธิภาพในการเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นความสว่าง
ของหลอดฟลูออเรสเซนต์จึงสูงกว่าแบบไส้

ทัศนอุปกรณ์

   - เครื่องฉายภาพนิ่ง




เครื่องฉายภาพนิ่งมีส่วนประกอบและหน้าที่สำคัญดังนี้
ส่วนประกอบของเครื่องฉายภาพนิ่ง
  1.กระจกสะท้อนแสง ทำด้วยโลหะฉาบอะลูมิเนียม ทำหน้าที่สะท้อนแสงด้านหลังของหลอดฉายไปใช้ประโยชน์ด้านหน้า
  2.หลอดฉาย เป็นหลอดไฟขนาดเล็ก มีกำลังการส่องสว่างสูง เนื่องจากหลอดฉายแผ่รังสีความร้อนสูงมาก  เครื่องฉายภาพทั่วไปจึงมีพัดลมเป่าระบายความร้อน
  3.เลนส์รวมแสง เป็นเลนส์นูนแกมระนาบ 2 อัน หันด้านนูนเข้าหากันทำหน้าที่รวมแสงทั้งหมดให้มีความเข้มสูงผ่านสไลด์ และทำให้เกิดภาพจริงของหลอดฉายไปตกตรงจุดศูนย์กลางของเลนส์ภาพ เพื่อมิให้เกิดภาพของหลอดไฟที่จอฉาย
  4.เลนส์หน้ากล้อง เป็นเลนส์นูนเดี่ยวหรือหลายอันประกอบกัน เลนส์หน้ากล้องมีหน้าที่ฉายภาพไปเกิดภาพจริงหัวกลับที่จอ
   - กล้องถ่ายรูป (camera)
กล้องถ่ายรูป หรือ กล้องถ่ายภาพ เป็นอุปกรณ์บันทึกแสงที่สะท้อนจากวัตถุผ่านเลนส์ของกล้อง เป็นการจำลองภาพทางแสงให้บันทึกลงบนวัสดุไวแสง (ฟิล์มถ่ายภาพประเภทต่าง ๆ หรือตัวรับภาพ - Image Sensor) บันทึกเป็นภาพแฝงบนวัสดุไวแสง ก่อนนำไปผ่านกระบวนการล้างให้เป็นภาพถ่ายถาวร

              กล้องถ่ายรูป
กล้องถ่ายรูปมีส่วนประกอบและหน้าที่สำคัญดังนี้
ส่วนประกอบภายในกล้องถ่ายรูปอย่างง่าย
  1. ตัวกล้อง  ทำหน้าที่เป็นห้องมืด ภายในทาสีดำเพื่อป้องกันแสงจากภายนอก และช่วยลดการสะท้อนแสงภายในกล้อง
  2. เลนส์นูน  ทำหน้าที่รับแสงจากวัตถุที่อยู่ไกลเกินระยะ 2f เพื่อให้เกิดภาพจริงขนาดย่อบนฟิล์ม
  3. วงแหวนปรับความชัด เป็นตัวที่ใช้เลื่อนเลนส์นูนให้ออกห่างหรือเข้าใกล้ฟิล์ม เพื่อให้ได้ภาพชัดตามต้องการ
  4. ไดอะแฟรม เป็นช่องกลม ทำหน้าที่ควบคุมปริมาณแสงที่ผ่านเข้ากล้อง
  5. ชัตเตอร์ เป็นแผ่นทึบแสง ทำหน้าที่ ปืด เปิด ให้แสงเข้ามาในกล้อง ซึ่งสามารถตั้งช่วงเวลาการปิดเปิด โดยการปรับ ความเร็วชัตเตอร์ ถ้าวัตถุมีความสว่างมากต้องลดขนาดช่องของไดอะแฟรมหรือเพิ่มความเร็วชัตเตอร์ แต่ถ้าวัตถุมีความสว่างน้อย เราต้องเพิ่มขนาดของไดอะแฟรมหรือลดความเร็วชัตเตอร์
  6. ฟิล์ม ทำหน้าที่เป็นฉากรับภาพ เมื่อแสงตกบนฟิล์มจะเกิดปฏิกิริยาเคมี และเมื่อนำฟิล์มไปล้างตามขั้นตอน ก็จะได้ภาพจริงหัวกลับ ขนาดเล็กกว่าวัตถุบนฟิล์ม
    - กล้องจุลทรรศน์ (microscope)
ชนิดของกล้องจุลทรรศน์ กล้องจุลทรรศน์สามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆได้ 2 ประเภท คือ กล้องจุลทรรศน์แบบแสง (Optical microscopes) และกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน (Electron microscope)
กล้องจุลทรรศน์ชนิดที่พบได้มากที่สุด คือชนิดที่ประดิษฐ์ขึ้นเป็นครั้งแรก เรียกว่า กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง (optical microscope) เป็นอุปกรณ์ใช้แสงอย่างหนึ่ง มีเลนส์อย่างน้อย 1 ชิ้น เพื่อทำการขยายภาพวัตถุที่วางในระนาบโฟกัสของเลนส์นั้นๆ
   - กล้องโทรทรรศน์(Telescope)
กล้องโทรทัศน์เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ดูวัตถุที่อยู่ไกล ประกอบด้วยเลนส์ 2 เลนส์ มี 2 ประเภท คือกล้องโทรทรรศน์หักเห  และกล้องโทรทรรศน์ชนิดสะท้อนแสง
กล้องโทรทรรศน์หักเห (Refracting telescope) ใช้เลนส์นูนเป็นเลนส์ใกล้วัตถุมีความยาวโฟกัสมากอาจจะถึงหลาย ๆ เมตร เนื่องจากวัตถุที่ต้องการดูอยู่ไกลมากดังนั้นภาพที่เกิดจึงตกที่จุดโฟกัสของเลนส์ใกล้วัตถุเป็นวัตถุเสมือนของเลนส์ใกล้ตาโดยใช้เลนส์เว้าหรือเลนส์นูนเป็นเลนส์ใกล้ตาก็ได้ วัตถุเสมือนนี้จะอยู่ระหว่างจุดโฟกัส ของเลนส์ใกล้ตากับเลนส์ ดังนั้นภาพสุดท้ายที่เกิดขึ้นจะได้ภาพเสมือนขนาดขยาย กล้องโทรทรรศน์ชนิดสะท้อนแสง (Reflecting telescope)ใช้กระจกเว้ารูปพาราโบลาที่ไม่มีความคลาด เป็นตัวสะท้อนแสงใกล้วัตถุ ภาพที่ได้เกิดขึ้นที่ จุดโฟกัสใช้กระจกนูนเป็นตัวสะท้อนครั้งที่สองเกิดภาพเสมือนขนาดขยาย

ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับแสง

   - การกระจายแสง
เมื่อให้แสงขาวซึ่งประกอบด้วยแสงหลายสีผ่านปริซึมสามเหลี่ยม พบว่าแสงที่หักเหออกมาจากปริซึมจะไม่เป็นแสงขาว แต่จะมีสีต่าง ๆ กัน แสงแต่ละสีที่หักเหออกมาจะทำมุมหักเหต่าง ๆ กัน
เมื่อให้แสงสีขาวหรือแสงแดดผ่านแท่งปริซึมจะทำให้เกิดการหักเหภายในแท่งปริซึมแล้วกระจายออกเป็นสีต่างๆเรียงตามลำดับ ม่วง ,คราม ,น้ำเงิน ,เขียว ,เหลือง ,แสด ,แดง แสงแต่ละสีที่หักเหออกมาจะทำมุมหักเหต่างกันแสงแต่ละสีจึงปรากฏบนฉาก ตำแหน่งต่าง ๆ กัน ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า การกระจายของแสง                                            
   - การสะท้อนกลับหมด (Total Internal Reflection)

การสะท้อนกลับหมดในตัวกลางที่มีดรรชนีหักเหมาก


   - รุ้ง( Rainbow)
รุ้งกินน้ำ เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นหลังจากฝนตก โดยเกิดขึ้นจากแสงแดดส่องผ่านละอองน้ำในอากาศ ทำให้แสงสีต่าง ๆ เกิดการหักเหขึ้น จึงเห็นเป็นแถบสีต่าง ๆ ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า รุ้งประกอบด้วยสีม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด และ แดง
รุ้งปฐมภูมิ เกิดจากแสงแดดตกกระทบเข้าทางด้านบนของหยดน้ำ ซึ่งมีขั้นตอนการเกิดรุ้งดังนี้ เมื่อแสงแดดตกกระทบหยดน้ำจะเกิดการหักเหหรือกระจายแสงเป็น 7สีในหยดน้ำแสงแต่ละสีจะเกิดการสะท้อนกลับหมดที่ผิวด้านในของหยดน้ำแสงแต่ละสีจะเกิดการหักเหออกจากหยดน้ำรุ้งปฐมภูมิจะเกิดการหักเห2 ครั้งสะท้อน1ครั้ง แถบแดงจะอยู่บนสุดและแถบม่วงจะอยู่ล่างสุด หยดน้ำแต่ละหยดจะให้แสงออกมา 7 สีแต่จะมีเพียงสีเดียวเท่านั้นของหยดน้ำแต่ละหยดที่เดินทางเข้าสู่ตาเรา คือถ้าแสงสีแดงผ่านเข้าตา แสงสีอื่นจะผ่านเหนือตา และถ้าแสงสีม่วงผ่านเข้าตาแสงสีอื่นจะผ่านใต้ตา
รุ้งทุติยภูมิ   เกิดจากแสงแดดตกกระทบเข้าทางด้านล่างของหยดน้ำ ซึ่งมีลำดับขั้นตองการเกิดรุ้งดังนี้ เมื่อแสงแดดตกกระทบหยดน้ำจะเกิดการหักเหหรือการกระจายแสงเป็น7 สีในหยดน้ำ แสงแต่ละสีจะเกิดการสะท้อนกลับหมดครั้งที่1 ที่ผิวด้านใน แสงแต่ละสีจะเกิดการสะท้อนกลับหมดครั้งที่2 ที่ผิวด้านในแสงแต่ละสีจะเกิดการหักเหออกจากหยดน้ำ รุ้งทุติยภูมิเกิดการหักเห 2ครั้งสะท้อน 2ครั้ง แถบสีแดงจะอยู่ล่างสุด แถบสีม่วงจะอยู่บนสุดหยดจะให้แสงออกมา 7 สีแต่จะมีเพียงสีเดียวเท่านั้น ของหยดน้ำแต่ละหยดที่เดินทางเข้าสู่ตาเรา คือถ้าแสงสีแดงผ่านเข้าตา แสงสีอื่นจะผ่านใต้ตา และถ้าแสงสีม่วงผ่านเข้าตาแสงสีอื่นจะผ่านเหนือตา
     - มิราจ (Mirage)

ตัวอย่างปรากฏการณ์มิราจที่เกิดขึ้นบนพื้นถนน

 มิราจ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากแสงจากท้องฟ้าหักเหและสะท้อนกลับหมดจากชั้นของอากาศร้อนบน พื้นดินที่เป็นเช่นนี้เพราะ ในขณะที่แสงแดดร้อนจัดอากาศที่ใกล้ผิวถนนจะมีอุณหภูมิสูงกว่า อากาศที่อยู่สูงจากผิวถนนขึ้นไป อากาศที่อยู่ใกล้ผิวถนนจึงมีความหนาแน่นน้อยกว่าอากาศที่อยู่สูงจากผิวถนนขึ้นไป ความหนาแน่นของอากาศที่แตกต่างกัน จึงเปรียบเสมือนตัวกลางที่แตกต่างกันดังนั้นเมื่อแสงจากท้องฟ้าเดินทางผ่านความหนาแน่นของอากาศที่แตกต่างกันแสงจึงเกิดการหักเหได้ และเมื่อมุมตกกระทบโตกว่ามุมวิกฤต จึงเกิดการสะท้อนกลับหมด นอกจากนี้จากหลักการสะท้อนกลับหมดของแสงได้ถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวางในเส้นใยนำแสงอีกด้วย

เลนส์บาง

   กล้องจุลทรรศน์ กล้องดูดาว และกล้องถ่ายรูป ล้วนเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เลนส์ช่วยในการทำให้เกิดภาพ โดยใช้หลักการหักเหของแสงเลนส์ทำด้วยแก้วหรือพลาสติกที่มีผิวโค้งทรงกลมสองข้างไม่ขนานกัน
เลนส์มี 2 ชนิด คือ เลนส์นูนและเลนส์เว้า ดังรูป

จากรูป  ถ้ามีรังสีขนานกับแกนมุขสำคัญตกกระทบเลนส์นูน และถ้ารังสีเหล่านี้อยู่ใกล้แกนมุขสำคัญ เมื่อผ่านเลนส์นูนจะหักเหไปรวมกันที่จุด ๆ หนึ่งบนแกนมุขสำคัญของเลนส์นูน จุดนี้เรียกว่า จุดโฟกัส ระยะ f คือ ความยาวโฟกัส ในกรณีของเลนส์เว้า รังสีทั้งหลายที่ขนานกับแกนมุขสำคัญ เมื่อผ่านเลนส์เว้าแล้ว รังสีจะเบนหรือกระจายออก ถ้ารังสีเหล่านี้ถูกต่อย้อนกลับไปก็จะพบกันที่จุด F'ดังรูป จุดนี้จะเป็นจุดโฟกัสเสมือนของเลนส์เว้า และระยะ f ก็จะเป็น ความยาวโฟกัสของเลนส์เว้านั้น


การหักเหของแสง

เมื่อมองดินสอที่ส่วนหนึ่งจุ่มอยู่ในน้ำและอีกส่วนหนึ่งอยู่เหนือผิวน้ำ จะเห็นดินสอทั้งสองส่วนไม่เป็นแท่งตรง และเห็นดินสอส่วนที่อยู่ในน้ำอยู่ที่ตำแหน่งสูงกว่าความเป็นจริง แสงจากดินสอที่อยู่ในน้ำเดินทางผ่านน้ำสู่อากาศมาเข้าตาเรา
 กฎการหักเหของแสง
วางแท่งพลาสติกบนแผ่นกระดาษขาวซึ่งอยู่บนโต๊ะ ฉายลำแสงตกกระทบด้านข้างของแท่งพลาสติกจะพบว่า ลำแสงส่วนหนึ่งสะท้อนจากผิว และลำแสงอีกส่วนหนึ่งผ่านเข้าไปในแท่งพลาสติก จากนั้นลำแสงก็ผ่านแท่งพลาสติกออกสู่อากาศ ดังรูป 3.1 จะเห็นได้ว่า เมื่อแสงผ่านผิวรอยต่อระหว่างอากาศกับแท่งพลาสติก หรือระหว่างแท่งพลาสติกกับอากาศแสงจะเปลี่ยนทิศการเคลื่อนที่โดยเบนออกจากแนวเดิมเรียกปรากฏการนี้ว่า การหักเหของแสง สรุปเป็นกรณีทั่วๆไป ได้ว่า การเคลื่อนที่ของแสงผ่านผิวรอยต่อของตัวกลางสองตัวกลาง เรียกว่า การหักเหของแสง และแสงที่เคลื่อนที่ผ่านผิวรอยต่อเข้าไปอีกตัวกลางหนึ่ง เรียกว่า รังสีหักเห ถ้ารังสีตกกระทบที่ผิวรอยต่อไม่ตั้งฉากกับผิวรอยต่อของตัวกลางทั้งสอง รังสีหักเหจะเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่
-  ความลึกจริง ความลึกปรากฎ

การเห็นตัวหนังสือปรากฏตื้นกว่าตำแหน่งจริง

นำแท่งพลาสติกใสผิวระนาบวางทับตัวหนังสือ ดังรูป เมื่อมองดูตัวหนังสือใต้ท่งพลาสติก จะมองเห็นตัวหนังสือที่ตำแหน่งที่ไม่ใช่ตำแหน่งจริงเป็นตำแหน่งที่สูงขึ้นกว่าตำแหน่งเดิม เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นในการมองวัตถุที่อยู่ในน้ำโดยผู้มองอยู่ในอากาศ ดังรูป การจะเห็นวัตถุได้ก็ต้องมีแสงจากวัตถุเคลื่อนที่ผ่านน้ำแล้วหักเหออกสู่อากาศเข้าตาเนื่องจากอากาศมีดรรชนีหักเหน้อยกว่าน้ำดังนั้นมุมหักเหในอากาศจึงมีค่าน้อยกว่ามุมตกกระทบในน้ำ เมื่อต่อแนวรังสีหักเหที่ B และ C รังสีเหล่านี้จะตัดกันที่ Q'ซึ่งอยู่เหนือ Q ซึ่งเป็นตำแหน่งของวัตถุ และ Q' เป็นภาพที่ตามองเห็นระยะ Q'A เรียกว่า ความลึกจริง จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ในการมองวัตถุที่อยู่ในน้ำ เราจะเห็นวัตถุอยู่ตื้นกว่าเดิม และเราสามารถหาตำแหน่งภาพที่ตามองเห็นได้ด้วยการต่อแนวรังสีหักเหให้ไปพบกัน
  สว่างน้อยเป็นระยะเวลานานหรือบ่อย กล้ามเนื้อตาจะเสื่อมเร็วกว่าที่ควรการดูผ่านทัศนอุปกรณ์ ได้แก่ กล้องส่องทางไกล กล้องโทรทรรศน์ ดูวัตถุหรือแหล่งกำเนิดแสงที่มีความสว่างมาก จะทำให้เรตินาเป็นอันตราย ดังนั้นการดู หรือถ่ายภาพดวงอาทิตย์ เมื่อเกิดสุริยุปราคา จึงต้องทำด้วยความระมัดระวัง โดยดูผ่านฟิล์มกรองแสง หรือดูโดยมีผู้เชี่ยวชาญ ด้านดาราศาสตร์ดูแล

การสะท้อนของแสง

  การสะท้อนแสง คือ การเปลี่ยนทิศการเคลื่อนที่ของแสงกลับมาสู่ตัวกลางเดิม เมื่อแสงเคลื่อนที่ไปถึงแนวเขตระหว่างตัวกลาง 2 ตัวกลาง เช่น เมื่อแสงตกกระทบผิวของกระจก แสงจะสะท้อนที่ผิวกระจกกลับสู่อากาศ เป็นต้น เมื่อแสงตกกระทบผิวของวัตถุใดๆ โดยที่พื้นผิวของวัตถุนั้นไม่ดูดกลืนแสงไปทั้งหมด แสงส่วนที่เหลือจะสะท้อนออกจากผิววัตถุนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุที่มีผิวเรียบหรือผิวขรุขระ
รูปแสดงการสะท้อนแสงของวัตถุที่มีผิวเรียบและผิวขรุขระ
การสะท้อนของวัตถุที่มีผิวเรียบหรือผิวขรุขระจะเป็นไปตามกฎเกณฑ์อันเดียวกันคือ กฎการสะท้อนของแสง”
รูป  แสดงการสะท้อนของแสงบนกระจกราบ
1. รังสีตกกระทบ รังสีสะท้อน และเส้นแนวฉากหรือปกติ จะอยู่ในระนาบเดียวกัน
   รังสีตกกระทบ หมายถึงรังสีที่แสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของแสงที่ตกกระทบกับผิววัตถุ         
  รังสีตกสะท้อน หมายถึงรังสีที่แสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของแสงที่สะท้อนออกจากผิววัตถุ
  เส้นแนวฉากหรือเส้นปกติ คือเส้นตรงที่ลากตั้งฉากกับผิววัตถุ ณ จุดที่รังสีตกกระทบผิววัตถุ
2. มุมตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อน
    มุมตกกระทบ คือ มุมที่รังสีตกกระทบทำกับเส้นแนวฉาก(มุม i )
    มุมตกสะท้อน คือ มุมที่รังสีสะท้อนทำกับเส้นแนวฉาก (มุม r )

รูปแสดงการสะท้อนของแสงที่วัตถุผิวเรียบแบบต่างๆ


  - ภาพในกระจกเงาราบ
เมื่อวางวัตถุไว้หน้ากระจกเงาราบ เราสามารถเห็นทั้งวัตถุและภาพของวัตถุในกระจกเงาราบได้ เพราะมีแสงจากวัตถุมาเข้าตา แต่การเห็นภาพของวัตถุนั้น เกิดจากการที่แสงจากวัตถุไปตกกระทบผิวกระจกเงาราบแล้วสะท้อนกลับมาเข้าตาเราตามปกติแสงจากวัตถุจะกระจายออกไปทุกทิศทางและจะตกกระทบเต็มพื้นที่ผิวของ กระจกเงาราบ ถ้าพิจารณาแสงจากวัตถุเป็นรังสี จะมีรังสีของแสงจำนวนมากมายจากวัตถุตก กระทบผิวของกระจกเงาราบ ทำให้สามารถแสดงที่มาของภาพในกระจกเงาราบได้ ด้วยการใช้ กฎการสะท้อนของแสงเขียนรังสีตกกระทบ รังสีสะท้อนและเส้นแนวฉากจากนั้นต่อแนวรังสี สะท้อนไปทางด้านหลังของกระจกเงาราบ จากสมบัติเชิงเรขาคณิตของแสง อาจแสดงได้ว่ารังสี สะท้อนเหล่านี้ เสมือนออกมาจากจุดจุดหนึ่ง ซึ่งก็คือตำแหน่งภาพของวัตถุนั่นเอง ดังรูป ก.ระยะที่วัตถุอยู่ห่างจากผิวกระจกเรียกว่า ระยะวัตถุ ระยะที่ภาพอยู่ห่างจากผิวกระจกเรียกว่า ระยะภาพ ตามรูป ก และ ข จุด P' เป็นภาพของ P โดยมี PA เป็นระยะวัตถุและ P'A เป็นระยะภาพ
ก.วัตถุที่มีลักษณะเป็นจุด ภาพก็เป็นจุด    ข.วัตถุที่มีขนาด  ภาพก็มีขนาด
  สำหรับวัตถุที่มีขนาดจะประกอบด้วยจุดหลายๆจุด ดังนั้นภาพของจุดเหล่านี้ จึงรวมกัน เป็นภาพของวัตถุซึ่งอาจหาได้โดยการเขียนรังสีต่างๆโดยใช้วิธีของรูป ก. และได้ภาพดัง แสดงในรูป ข.


รูปการมองเห็นภาพในกระจกเงาราบ

เพื่อความสะดวกในการหาตำแหน่งภาพ จะใช้รังสีตกกระทบจากจุดหนึ่งๆของ วัตถุเพียง 2 รังสี ดังนั้นการแสดงการเห็น ภาพของวัตถุในกระจกเงาราบอาจแสดงได้ ดังรูป โดยวางตาในตำแหน่งที่เหมาะสม
รูป การเขียนรังสีของแสงเพื่อหาตำแหน่ง และขนาดของวัตถุที่เกิดจากกรจกเงาราบ
รูป แสดงการหาระยะภาพ P เป็นวัตถุที่เป็นจุด ถ้า PB เป็นรังสีจากวัตถุที่ตกกระทบกระจกเงาราบ และ BQ เป็นรังสีสะท้อน ต่อ QB ไปตัดส่วนต่อของ PA ที่จุด P' ตามรูป ก.P' เป็นภาพของ P
สรุปได้ว่า ระยะวัตถุเท่ากับระยะภาพเสมอ
ในรูป 14.8 ข ถ้าวัตถุ PQ มีลักษณะเป็นเส้นตรง และ ยาว y จากข้างบนภาพของจุด P และ Q จะอยู่ที่จุด P' และ Q' ดังนั้น P' Q' เป็นภาพของ PQ และมีความยาม y'เพราะ PA = AP'  และ QB = BQ' จากเรขาคณิตจะได้ว่า
                      PQ       =        P' Q'
หรือ
y         =         y'
จะเห็นได้ว่าสำหรับการเกิดภาพในกระจกเงาราบความยาวของภาพเท่ากับความยาวของวัตถุเสมอสำหรับวัตถุที่มีรูปทรงเช่นกล่องหรือเก้าอี้ ซึ่งประกอบด้วยจุดจำนวนมาก ดังนั้น เมื่อวัตถุ อยู่หน้ากระจกเงาราบ เพราะภาพของจุดแต่ละจุดที่เกิดขึ้นจะมีระยะภาพเท่ากับระยะวัตถุ ทำให้องค์ประกอบอื่นๆของวัตถุที่ปรากฏเป็นภาพก็จะมีขนาดเท่ากันด้วย จึงทำไห้สรุปได้ว่า ขนาดของภาพที่ได้จากการวางวัตถุไว้หน้าผิวสะท้อนราบใดๆจะเท่ากับขนาดของวัตถุเสมอภาพของวัตถุในกระจกเงาราบนั้น เป็นภาพที่เกิดจากรังสีสะท้อนมาเข้าตาจึงทำไห้ดูเสมือนว่า รังสีเหล่านั้นมาจากภาพอยู่หลังกระจก และ ถ้าเรานำฉากไปวาง ณ ตำแหน่งที่เห็นภาพนั้นก็จะไม่มีภาพใดๆปรากฏบนฉาก ภาพที่เกิดขึ้นในลักษณะเช่นนี้ เรียกว่า ภาพเสมือน

    -  ภาพที่เกิดจากการสะท้อนของแสงบนกระจกผิวโค้งทรงกลม
กระจกเงาโค้งทรงกลมเป็นส่วนหนึ่งของผิวโค้งทรงกลม ถ้าใช้ผิวโค้งเว้าของกระจกเป็นผิวสะท้อนแสง เรียกว่ากระจกเว้า ดังรูป ก.และถ้าใช้ผิวโค้งนูนของกระจกเป็นผิวสะท้อนแสง เรียกว่า กระจกนูน ดังรูป ข.พิจารณารูปกระจกเว้าและกระจกนูน ในรูป C เป็นศูนย์กลางความโค้งของกระจก และของทรงกลม R เป็นรัศมีความโค้งของกระจก และรัศมีของทรงกลม เส้นตรงที่ลากผ่านจุด C ไปหาตำแหน่ง V ที่เป็นจุดกึ่งกลางบนผิวโค้งของกระจกเรียกว่า เส้นแกนมุขสำคัญ MM/เป็นความกว้างของกระจกโค้งซึ่งมีค่าน้อยเมื่อเทียบกับรัศมีความโค้ง   

       สำหรับรังสีตกกระทบทั้งหลายที่ขนานกับเส้นแกนมุขสำคัญของกระจกเว้า และมีแนวไม่ห่างจากแกนมุขสำคัญมาก รังสีสะท้อนจะตัดแกนมุขสำคัญที่จุดๆหนึ่ง ซึ่งอยู่หน้ากระจกห่างจากจุดยอดของกระจกเท่ากับ ครึ่งหนึ่งของรัศมีความโค้งของกระจก จุดนี้เรียกว่า โฟกัส ดังรูป F เป็นโฟกัสและระยะทางจากโฟกัสถึงจุดยอดของกระจก เรียกว่า ความยาวโฟกัส


ถ้า f แทนความยาวโฟกัส และ R แทนรัศมีความโค้งของกระจกเว้า